วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

ละหุ่ง ( Castor )
          ละหุ่งเป็นพืชพื้นเมืองของแอฟริกาและอินเดีย ประเทศที่ผลิตเป็นรายใหญ่ของโลกคือประเทศบราซิล อินเดีย จีน สหภาพโซเวียต และประเทศไทย เป็นต้น สำหรับประเทศไทยละหุ่งนับว่าเป็นพืชไร่ที่มีความสำคัญชนิดหนึ่ง สามารถทำรายได้เข้าประเทศปีหนึ่งๆหลายร้อยล้านบาท จังหวัดที่ปลูกกันมากได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ ตาก นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ เลย และชัยภูมิ เป็นต้น ปัจจุบันการผลิตละหุ่งยังไม่พอกับความต้องการของโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อใช้ผลิตน้ำมันละหุ่ง ซึ่งน้ำมันละหุ่งยังสามารถนำไปใช้ในวงการอุตสาหกรรมอื่นๆได้หลายชนิด เช่น ใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นเครื่องจักรต่างๆ หมึกพิมพ์ และน้ำมันชักเงาต่างๆเป็นต้น
ลักษณะโดยทั่วไป
          ละหุ่งเป็นพืชที่อยู่ในตระกูล Euphorbiaceac มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ricinus communis, L . ละหุ่งเป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนทานต่อสภาวะแห้งแล้งได้ดี สามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด แต่ชอบดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดีไม่ชอบดินที่เหนียวและมีน้ำขัง ละหุ่งไม่ใช่พืชที่เป็นอาหาร แต่น้ำมันละหุ่งสามารถใช้รับประทานได้หลังจากผ่านกรรมวิธีเพื่อทำลายสารที่เป็นพิษด้วยความร้อนแล้ว กากของละหุ่งหลังจากสกัดน้ำมันและทำลายสารพิษแล้วยังสามารถน้ำมาใช้ในการเลี้ยงสัตว์ได้เช่นกัน
พันธุ์ที่ใช้ปลูก

          พันธุ์ที่ปลูกกันทุกวันนี้เป็นพันธุ์พื้นเมือง เช่น พันธุ์ลายขาวดำ ลายดำใหญ่ ลายแดงเข้ม พันธุ์พวกนี้เก็บเกี่ยวลำบากและให้ผลผลิตต่ำ แต่ปัจจุบันนี้จากการทดสอบพันธุ์จากต่างประเทศ ปรากฏว่าพันธุ์ HAZERA 22 ( H22 ) เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงตอบสนองต่อสภาพดินฟ้าอากาศในประเทศไทยดี
การเตรียมดิน
          ถ้าเป็นที่ป่าเปิดใหม่ต้องทำการโค่นและเผาปรนให้เรียบร้อยก่อน แต่ถ้าเป็นที่เตียนและเคยปลูกพืชอื่นมาแล้ว ให้ขุดไถดินลึกประมาณ 6 – 8 นิ้ว ตากดินไว้ 5 – 7 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักให้บ้าง จากนั้นทำการย่อยดินและพรวนดินให้ละเอียดเพื่อให้ดินมีความร่วนซุยพร้อมที่จะปลูกต่อไป
ฤดูปลูก
          ละหุ่งสามารถปลูกได้ทั้งต้นฤดูฝนคือระหว่างเดือนเมษายน พฤษภาคม หรือปลายฤดูฝน ในระหว่างเดือน กรกฎาคม สิงหาคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกระจายของฝนหรือปริมาณการตกฝน การปลูกปลายฤดูฝนจะทำให้มีต้นเตี้ย จำนวนช่อดอกและทรงพุ่มน้อย ดังนั้นถ้าเราปลูกปลายฤดูฝนควรปลูกให้ถี่กว่าการปลูกต้นฤดูฝน
การปลูก
          หลังจากเตรียมดินเรียบร้อยแล้วให้วางระยะปลูก ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับละหุ่งคือระยะระหว่างต้น  50 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวประมาณ  100 เซนติเมตร ขุดหลุมลึกประมาณ 5 – 8 เซนติเมตร จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์มาผสมกับสารเคมีฆ่าเชื้อรา เช่น แดปแทน หรือซีซีเซน เสร็จแล้วหยอดเมล็ดลงไปในหลุมๆละ 2 – 3 เมล็ด แล้วกลบดิน หลังจากปลูกประมาณ 10 – 15 วันเมล็ดจะเริ่มงอก เมื่อต้นกล้าอายุได้ประมาณ 1 เดือน ให้ถอนต้นที่อ่อนแอไม่สมบูรณ์ออกเสียเหลือไว้แต่ต้นที่แข็งแรง หลุมละ 1 ต้นก็พอ สำหรับหลุมไหนที่ไม่งอกให้รีบปลูกซ่อมแซมโดยเร็ว
การใส่ปุ๋ย
          ถ้าเป็นที่ป่าเปิดใหม่ดินยังมีความสมบูรณ์สูงก็ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย สำหรับดินที่เคยปลูกพืชอื่นๆมาแล้วหรือดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรมีการใส่ปุ๋ยเพิ่มด้วยเพื่อจะได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเพราะละหุ่งก็มีการตอบสนองต่อปุ๋ยเช่นเดียวกับพืชไร่อื่นๆ
          ปุ๋ยเคมีที่ใช้คือปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 หรือ 13 – 13 – 21 หรือปุ๋ยสูตรอื่นๆที่ใกล้เคียงกันนี้โดยใส่ในอัตรา 50 – 100 กิโลกรัม/ไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินแต่ละแห่ง การใส่ปุ๋ยให้ใส่เมื่อละหุ่งอายุได้ประมาณ 20 – 30 วันหลังจากงอก โดยโรยปุ๋ยให้ห่างโคนต้นอย่างน้อย 15 เซนติเมตร แล้วพรวนกลบ
การพรวนดินกำจัดวัชพืช
          วัชพืชจะทำให้ละหุ่งชะงักการเจริญเติบโต และทำให้ผลผลิตลดลง ดังนั้นถ้าพบว่ามีวัชพืชขึ้นต้องรีบกำจัด ซึ่งอาจใช้แรงงานคนถากหรือถอนก็ได้ ถ้าหากมีวัชพืชมากอาจต้องใช้สารเคมีฉีดพ่น หลังจากกำจัดวัชพืชแล้วควรทำการพรวนดินรอบๆโคนต้นเพื่อให้ดินร่วนซุยอยู่เสมอ
การเด็ดยอดละหุ่ง
          เมื่อต้นละหุ่งสูงประมาณ 45 – 50 เซนติเมตร หรือมีอายุประมาณ 30 วัน หลังจากงอก ควรทำการเด็ดยอดละหุ่ง เพื่อให้แตกกิ่งก้านสาขา ทำให้มีจำนวนกิ่งที่เกิดช่อดอกชุดแรกเพิ่มขึ้นและทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นด้วย การเด็ดยอดควรเด็ดภายหลังที่มีฝนตกลงมามาก และมีความชุ่มชื้นพอเพียง อย่าเด็ดในขณะที่มีความแห้งแล้ง อาจจะทำให้ละหุ่งชะงักการเจริญเติบโต
          ในช่วงที่ปลูกถ้าหากมีฝนตกหนักระยะที่ต้นละหุ่งกำลังสร้างช่อดอกและผลต้นละหุ่งอาจได้รับอันตรายจากโรคช่อดอกและผลเน่า ควรป้องกันโดยฉีดพ่นยาแคบแกนและคาร์เบนดาซิมสลับกันทุกๆ 7 วัน

การเก็บเกี่ยว
          ผลละหุ่งจะเริ่มแก่ตั้งแต่ผลที่อยู่ส่วนล่างสุดของช่อ และแก่ทยอยตามกันขึ้นไปจนถึงส่วนบนสุดของช่อ ผลจะเปลี่ยนสีจากสีเขียงเป็นสีน้ำตาลหรือสีแดง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของละหุ่งแต่ละพันธุ์ ควรลงมือเก็บละหุ่งเมื่อแก่หมดแล้วทุกผลทั้งช่อเสียก่อน เพราะการเก็บเกี่ยวละหุ่งอ่อนจะทำให้ปริมาณน้ำมันในเมล็ดลดลงไปมาก
          การปลูกละหุ่งในช่วงเดือนกรกฎาคม สิงหาคมนั้น หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็ปล่อยต้นละหุ่งทิ้งไว้ในแปลง เมื่อเข้าฤดูฝนใหม่จึงทำการตัดตอเพื่อให้กิ่งใหม่แตกขึ้นมา การตัดให้ตัดสูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร การตัดตอดังกล่าวนี้จะทำให้ได้ละหุ่งที่ได้ผลผลิตสูงอีกหนึ่งฤดูกาล
โรคและแมลงของศัตรูของละหุ่ง
          โรคที่สำคัญๆที่เกิดกับละหุ่งคือโรคช่อดอกและผลเน่า ซึ่งมักจะเกิดในฤดูฝนทำให้ดอกและผลเน่าเสียหาย การป้องกันกำจัด โดยใช้สารเคมีแคบแอนและคาร์เบนดาซิมฉีดพ่นสลับกันประมาณสัปดาห์ละครั้งก็พอ
          สำหรับแมลงที่สำคัญที่คอยทำลายละหุ่งคือ หนอนคืบใบละหุ่ง , เพลี้ย , จักจั่น เป็นต้น การป้องกันการกำจัด ใช้ พาราไซออน หรือไดเมทโซเอท ฉีดพ่นทุกๆ 15 วัน สารเคมีเหล่านี้ล้วนมีอันตรายต่อคนทั้งสิ้น ควรทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง


แตงโม ( Watermelon )
          แตงโมเป็นผัดที่เราบริโภคส่วนของผลสดอย่างผลไว้ มีปลูกมากทางภาคกลางของประเทศไทย มีรสชาติหวานฉ่ำชื่นใจเป็นที่นิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นต้น โดยปกติแตงโมเป็นพืชเมืองร้อนเหมาะที่จะปลูกในประเทศไทย ปลูกง่าย ชอบอุณหภูมิที่ค้อนข้างสูงและแสงแดดจัด การปลูกแตงโมให้ผลตอบแทนเร็วใช้เวลาในการปลูกเพียง 60 – 90 วันก็สามารถเก็บเกี่ยวขายเอาทุนคืนได้
ลักษณะโดยทั่วไป
          แตงโมเป็นพืชที่อยู่ในตระกูล Cucurbitaceae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Citrullus vulgaris, Schrad . สามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ไม่มีน้ำขังหรือแฉะ แตงโมชอบดินร่วนปนทราย มีความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) ประมาณ 6.3 แต่ก็สามารถขึ้นได้ในดินที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 5.0 – 7.5 ดินต้องมีความชุ่มชื้นพอเหมาะแตงโมชอบแสงแดดจัดที่ที่ปลูกต้องได้รับแสงแดดทั่วถึงตลอดวันไม่ชอบอากาศชื้นและเย็นจัด
 พันธุ์ที่ใช้ปลูก
แตงโมที่ปลูกในบ้านเราที่นิยมและรู้จักกันโดยทั่วไปมี 2 พันธุ์คือ
(1              พันธุ์ชูก้าเบบี้ (Sugar Baby ) เป็นพันธุ์เบาอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 65 วัน นับจากวันงอก มีลักษณะกลม ผลผิวมีสีเขียวคล้ำ เนื้อในสีแดง คุณภาพในการขนส่งไกลๆและเก็บรักษาดี
(2          พันธุ์ชาร์ลตันเกรย์ (Charleston Gray) เป็นพันธุ์หนักอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 85 วันนับจากวันงอก มีลักษณะผลสีเขียวอ่อน มีลายที่ผิว ผลเนื้อในสีชมพู ผลกลมยาว ขนาดใหญ่ รสหวาน เปลือกหนา คุณภาพในการขนส่งดี
การเตรียมดิน
          แตงโมเป็นพืชที่มีระบบรากหยั่งลึกลงไปในดินได้มากกว่า 1 เมตร ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์และมีคามชุ่มชื้นมาก จึงควรขุดไถดินลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 5 – 7 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วลงไปไร่ละประมาณ   2 – 4 ตัน คลุกเคล้าให้ทั่ว ย่อยดินและพรวนดินให้ร่วนโปร่ง เพื่อให้ดินมีการอุ้มน้ำดีขึ้น และรากแตงโมสามารถหาอาหารได้ไกลยิ่งขึ้นทั้งยังเป็นการช่วยให้พืชสามารถใช้น้ำในดินมากเป็นประโยชน์ได้อย่างดีอีกด้วย
ฤดูปลูก
          การปลูกแตงโมในฤดูฝนซึ่งมีฝนตกชุกนั้นมีปัญหามาก เพราะต้นแตงโมไม่ชอบฝนชุก ถ้าขืนปลูกไปจะทำให้ตายด้วยโรคเถาเหี่ยว ผลแตงโมจะเน่าง่าย และรสชาติจืดไม่หวานจัดเหมือนปลูกในฤดูแล้งหรือฤดูหนาว
          ฉะนั้นควรเริ่มปลูกแตงโมตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนมีนาคม ซึ่งจะเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายได้ในเดือนมิถุนายน ระยะดังกล่าวนี้เป็นช่วงที่ยังมีผู้ต้องการบริโภคแตงโมกันมาก
การปลูก
          เมื่อเตรียมดินเสร็จแล้วให้วางแถวปลูกได้เลย การปลูกแตงโมนิยมหยอดเมล็ดแตงโมเป็นหลุด โดยใช้ระยะระหว่างหลุมประมาณ 90 เซนติเมตร ลึกประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร แยกดินบนและล่างออกจากกันเอาดินบนคลุกกับปุ๋ยคอก แล้วใส่ลงไปในหลุมจนเกือบเต็มหลุมทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นให้นำเมล็ดมาหยอดลงในหลุมๆละ 5 เมล็ด แล้วรดน้ำให้ชุ่มด้วยบัวฝอยละเอียด คลุมด้วยฟางแห้งหรือหญ้าแห้งให้หนาพอสมควรเพื่อเก็บความชุ่มชื้นในดิน
          สำหรับการปลูกแตงโมในฤดูหนาวมักจะมีปัญหาที่ว่า ถ้าอุณหภูมิในดินปลูกต่ำกว่า 15.5 C เมล็ดแตงโมจะไม่ค่อยงอก ดังนั้นก่อนปลูกควรแช่เมล็ดแตงโมลงในน้ำอุ่นแล้วทิ้งไว้ 1 วัน กับอีก 1 คืน แล้วเอาผ้าเปียกห่อวางไว้ที่อุ่นๆในบ้าน จะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้นและงอกได้สม่ำเสมอ เมื่อรากเริ่มโผล่ออกจากเมล็ด ให้นำไปหยอดลงในหลุมแต่ต้องให้น้ำในหลุมก่อนที่จะหยอดล่วงหน้าไว้ 1 วัน เพื่อให้ดินในหลุมชื้นพอเหมาะ หลังจากหยอดแล้วให้กลบดินหนาไม่เกิน 1 เซนติเมตร แล้วรดน้ำให้ทั่ว ต้นแตงโมจะขึ้นมาสม่ำเสมอกันทั้งไร่
การใส่ปุ๋ย
          การใส่ปุ๋ยคอกให้แก่แตงโมนั้นสำคัญมากเพราะปุ๋ยคอกช่วยให้ดินร่วนซุย มีการระบายน้ำและอากาศได้ดี มีอันทรีย์วัตถุมากขึ้น ซึ่งการใส่ปุ๋ยคอกนี้เราใส่ตอนเตรียมดินครั้งแรกแล้ว
          สำหรับปุ๋ยเคมีที่ใช้คือปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 หรือปุ๋ยสูตร 13 – 13 – 21 โดยใส่ในอัตรา 100 – 150 กิโลกรัม/ไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินแต่ละแห่ง การใส่ปุ๋ยให้ใส่รองก้นหลุมก่อนปลูกหรือใสไว้ใต้ผิวดินห่างจากโคนต้นแตงโมประมาณ 30 เซนติเมตร หรือเมื่อต้นแตงโมทอดต้นยาวประมาณ 1 เมตร ให้โรยปุ๋ยใส่ข้างต้นแล้วพรวกลบได้
          นอกจากนี้ยังมีการใส่ปุ๋ยเสริมให้อีกโดยใฃ้ปุ๋ยยูเรีย 20 กิโลกรัม/ไร่ ครั้งแรกใช้ปุ๋ยยูเรียปริมาณครึ่งหนึ่งโรยรอบต้นแตงโม เมื่อต้นแตงโมมีใบ 5 ใบ และครั้งที่สองใส่ปุ๋ยยูเรียที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งโรยด้านข้างแถวของแตงโม เมื่อเถาแตงโมทอดยาวประมาณ 30 เซนติเมตร พรวนดินก่อนแล้วจึงใส่ปุ๋ย ปิดคลุมด้วยฟางแห้ง
การให้น้ำ
          ถึงแม้แตงโมจะเป็นพืชที่มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี แต่ถ้าอากาศแห้งแล้วเกินไปจะทำให้แตงโมชะงักการเจริญเติบโตได้ ควรให้น้ำแก่ดินให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้จนขังแฉะ ขอให้จำไว้ด้วยว่าในช่วงผลแตงโมกำลังเจริญเติบโตเป็นช่วงที่แตงโมต้องการน้ำมากอย่าให้ขาดน้ำในช่วงนี้ การให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน ควรให้ทั้งแปลงเพื่อป้องกันไม่ให้หน้าดินแห้งแข็งและจับปึก
การคลุมดิน
          เมื่อแตงโมเจริญเติบโตได้ระยะหนึ่ง เราควรใช้ฟางแห้งสะอาดคลุมดินเพื่อช่วยรักษาความชื้นในดิน ป้องกันไม่ให้ดินร้อนจัดเกินไป นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมวัชพืชและช่วยรักษาไม่ให้ผลแตงโมสัมผัสดินโดยตรง การคลุมให้คลุมให้ทั่วแปลงหนาประมาณ 5 – 8 เซนติเมตร เว้นบริเวณที่ใส่ปุ๋ยไว้
การพรวนดินกำจัดวัชพืช
          ในระยะแรกควรมีการพรวนดินและกำจัดวัชพืชบ่อยๆ เพื่อให้ดินร่วนโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก และควรทำด้วยความระมัดระวังอย่าให้เถาและรากได้รับความกระทบกระเทือน
 การบังคับเถาแตงโม
          การที่เราปล่อยเถาแตงโมแตกแขนงและเลื้อยทับกันตามธรรมชาติ ซ้อนกันจนหนาแน่น จะทำให้ได้ผลผลิตน้อยลง เนื่องจากแมลงช่วยผสมเกสรได้ไม่ทั่วถึง ฉะนั้นเมื่อเถาแตงโมเจริญเติบโตจนมีความยาม 1 – 2 ฟุต ควรได้มีการจัดเถาให้เลื้อยไปในทางเดียวกัน และตัดเถาให้เหลือไว้ต้นละ 4 เถา ซึ่งเป็นเถาที่สมบูรณ์ที่สุด การตัดหรือลิดแขนงส่วนที่เกินหรือไม่จำเป็นทิ้งจะช่วยให้ผลที่ได้มีขนาดสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การช่วยผสมเกสรด้วยมือ
          แตงโมเป็นพืชที่ผสมข้ามดอก จะติดผลได้ต้องอาศัยแมลงเป็นตัวช่วยผสมเกสร แต่ปัจจุบันผู้ปลูกแตงโมมักประสบปัญหาแตงโมไม่ติดผล เนื่องจากขาดแคลนแมลงที่จะมาผสมเกสรเพราะมีการใช้ยากำจัดแมลงกันมากขึ้น
          เราสามารถใช้คนช่วยผสมแทนได้ โดยการเด็ดดอกตัวผู้ที่บานมาปลิดกลีบดอกสีเหลืองของดอกตัวผู้ออกเสียก่อน จะเหลือแต่อับเรณู ซึ่งมีละอองเกสรตัวผู้เกาะทั่วไป นำไปคว่ำลงบนยอดเกสรตัวเมียของดอกตัวเมียที่บาน ให้ละอองเกสรตัวผู้สีเหลืองจับอยู่บนยอดเกสรตัวเมียทั่วทั้งดอก ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการผสมเกสร ซึ่งวิธีนี้ชาวบ้านเรียกว่า “ การต่อดอก “ เราสามารถผสมพันธุ์แตงโมได้ตั้งแต่เวลา 06.00น. ถึง 10.00น. หลังจาก 10.00น. ไปแล้วดอกตัวเมียจะหุบและไม่ยอมรับการผสมอีกต่อไป
การปลิดผลทิ้ง
          ผลแตงโมที่เกิดในระยะแรกๆควรปลิดทิ้ง เพราะส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและคุณภาพต่ำ นอกจากนี้ยังทำให้เถาแตงโมเลื้อยช้าลง สำหรับขนาดที่ปลิดทิ้งไม่ควรปล่อยให้โตเกินลูกปิงปอง
          แตงโมควรเริ่มไว้ผลตั้งแต่ข้อที่ 9 เป็นต้นไป เถาแตงโมเถาๆหนึ่งอาจติดผลได้หลายผล ให้เลือกผลที่มีก้านขั้วผลขนาดใหญ่และรูปทรงผลไม้ได้รูปสม่ำเสมอเอาไว้เถาะละ 1 ผล (ต้นหนึ่งเถาเอาไว้ 4 เถา ก็ได้แตงโมต้นละ 4 ผล ) จะได้ผลดีที่สุด
การจัดผล
          หลังจากแตงโมโตขนาดใหญ่พอสมควร ให้เสริมฟางใต้ผลให้หนาขึ้นเพื่อไม่ให้สัมผัสกับดิน และควรกลับผลแตงโมด้านไม่ถูกแสงขึ้นมาให้ถูกแสงบ้าง ช่วงระยะ 10 วัน ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อจะทำให้แตงโมมีสีสม่ำเสมอ และมีความหวานเพิ่มขึ้น
การเก็บเกี่ยว
          อายุการเก็บเกี่ยวของแตงโมแต่ละพันธุ์ไม่เท่ากัน พันธุ์เบาก็มีอายุน้อย แต่ถ้าเป็นพันธุ์หนักก็มีอายุมาก แต่โดยทั่วไปแล้วอายุการเก็บเกี่ยวของแตงโมประมาณ 65 – 120 วัน หลังจากนั้นหยอดเมล็ด
          ลักษณะของแตงโมที่แก่พร้อมจะเก็บเกี่ยวได้ คือ มือเกาะที่อยู่ใกล้ขั้วของผลมากที่สุดเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแห้งเป็นบางส่วนจากปลายมาหาโคน ผลแตงโมเริ่มเหี่ยวยุบลงผิวแตงกร้าน และมีน้ำหนักเบาขึ้น เมื่อดีดหรือตบเบาๆจะมีเสียงผสมระหว่างกังวานและเสียงทึบ แสดงว่าแตงโมแก่พอดี แต่ถ้าเสียงกังวานเพียงอย่างเดียวแสดงว่าแตงอ่อนไป หรือถ้ามีเสียงทึบเสียงอย่างเดียวแสดงว่าแตงแก่เกินไป หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ ไส้ล้ม “ ขายไม่ได้
โรคของแตงโม
(1)       โรคเถาเหี่ยว ที่เกิดจากเชื้อราพิวซาเรียม แตงโมที่เป็นโรคนี้สีใบจะซีด ใบและเถาจะเหี่ยวตรงบริเวณโคนเถาที่ใกล้กับผิวดิน และมีน้ำเมือกซึมออกมา เมื่อแกะดูภายในเป็นสีน้ำตาล การป้องกันกำจัดใช้ยาไดแทนฉีดพ่น
(2)       โรคราน้ำค้าง ลักษณะอาการของโรคนี้ทำให้เกิดจุดสีเหลืองบนหลังใบ และขยายตัวใหญ่ขึ้นส่วนของใต้ใบตรงตำแหน่งเดียวกันจะมีกลุ่มของเชื้อราสีม่วงอมเทาเกาะเป็นกลุ่มอยู่ ทำให้แตงโมมีผลผลิตลดลง และคุณภาพก็ต่ำลงด้วย การป้องกันกำจัดโดยใช้ยาแคปแทน ยาไซเนบหรือยามาเนบ ฉีดพ่นทุก 1 สัปดาห์
แมลงศัตรูแตงโม
        (1)   เพลี้ยไฟ แมลงนี้จะดูดกิ้นน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อน ทำให้ใบแตงโมไม่ขยายยอด หดสั้นลง ปล้องถี่ ยอดชูตั้งขึ้น การป้องกันกำจัดใช้ยาเซวิน 85% แลนเนท และไดเมทโซเอท อย่างใดอย่างหนึ่ง
        (2)   เต่าแตง เป็นแมลงปีกแข็ง ชอบกัดกินใบแตงขณะยังอ่อนอยู่ ทำให้ใบแตงขาดเป็นวงๆ การป้องกันใช้ยา เซวิน 85% ฉีดพ่นทุกสัปดาห์